คำนำ
บทความทางวิชาการเรื่อง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนวิชา การปกครองของไทย
ในหลักสูตรนักเรียนนายสิบตำรวจ และประกอบการศึกษาทั่วไป
หวังว่าบทความทางวิชาการเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรนักเรียนนายสิบตำรวจ
ตลอดจนผู้ที่สนใจเป็นอย่างยิ่ง ในส่วนของข้อบกพร่องหากเกิดขึ้นผู้เขียนขอน้อมรับเพื่อจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไปด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
บทนำ
นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขของฝ่ายบริหาร มีอำนาจหน้าที่สูงสุดในการบริหารประเทศ
เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการในการปฏิบัติหน้าที่ในการบริหารบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้า
ประชาชนในประเทศอยู่อย่างสงบสุขเป็นไปตามหลักการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่มีเป้าหมาย
คือ การอยู่ดีมีสุขของประชาชน นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังเป็นข้าราชการ
นั้นคือข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติข้าราชการการเมือง
พ.ศ. 2535 ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงเป็นตำแหน่งหนึ่งที่สำคัญ
เป็นตำแหน่งที่กุมชะตาประเทศ ดังนั้นคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงมาความสำคัญด้วย
( มานิตย์ จุมปา : 291 ) ผู้เขียนจึงขอนำหลักเกณฑ์รายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าสู่ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี
ตลอดจนคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และรายนามนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
การเข้าสู่ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี
สำหรับประเทศไทยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เสมอมาว่าพระมหากษัตริย์ทรงตั้งนายกรัฐมนตรีและกำหนดไว้ด้วยว่า
ใครเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนรี1
ก่อนที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
จะนำชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้า
ฯ เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง รัฐธรรมนูญได้กำหนดเกี่ยวกับการพิจารณาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
2 คือ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกตามมาตรา
127 ( ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก
) การเสนอบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี
ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
การลงมติในกรณีเช่นว่านี้ให้กระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย
ในกรณีที่พ้นกำหนดสามสิบวันแล้วไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้
รัฐธรรมนูญได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ 3 คือ ในกรณีที่พ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภา
เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็นครั้งแรกแล้วไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบให้ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
( คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
) ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลซึ่งได้คะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้เขียนขอนำขั้นตอนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในวันที่
17 กันยายน 2551 สรุปดังนี้ วันที่ 17 กันยายน 2551 เวลา
09.30 น. นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเรียกประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทนนายสมัคร
สุนทรเวช ที่พ้นจากตำแหน่งไป โดยพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรค
คือ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา
พรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคประชาราช มีมติจะเสนอชื่อนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน
ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เมื่อถึงวาระการเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์
ได้เสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้นนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสัดส่วนพรรคพลังประชาชน ได้เสนอชื่อ
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเป็นนายกรัฐมนตรี
ผลการลงคะแนนปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ 298 คะแนน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ 163 คะแนน มีผู้งดออกเสียง
5 คน ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 466 คน โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงถือว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่
26 ของประเทศไทย
คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี
รัฐธรรมนูญได้กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้
4 นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ( คณะรัฐมนตรี
) จึงมีสถานะเป็นรัฐมนตรี จะต้องมีคุณสมบัติ คือ
1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2. มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์
3. สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
4. ไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้
4.1 ติดยาเสพติดให้โทษ
4.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
4.3 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ได้แก่
4.3.1 เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
4.3.2 อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
4.3.3 วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ
4.4 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
4.5 เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
4.6 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ
4.7 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง
4.8 เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
4.9 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจหรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
4.10 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน
กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
หรือกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
4.11 อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
( จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ
หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ )
4.12 เคยถูกวุฒิสภามีมติ ให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง
5. ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีก่อนได้รับการแต่งตั้ง
เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
6. ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกินสองปีนับถึงวันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
รายนามนายกรัฐมนตรีของไทย
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นรัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
24 มิถุนายน 2475 นับจนถึงปัจจุบัน ( พ.ศ. 2551 ) ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีรวม
26 คน มีคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 58 คณะ รายละเอียดดังนี้
รายนามนายกรัฐมนตรีของไทยและวาระในการดำรงตำแหน่ง |
|
สรุป
นายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประเทศไทย
ดังนั้นบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญสามารถนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา เทคโนโลยี เป็นต้น
ตลอดจนนำพาประชาชนในประเทศให้อยู่ดีมีสุขทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด
ปัญหาคนว่างงาน ปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มบุคคลในสังคม หรือปัญหาอื่นๆ
ที่ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้ามาแก้ไข
บรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าวให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ
ขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมเพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่การพัฒนา
และชาชนอยู่กันอย่างสงบสุข สมดั่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนและประเทศไทย
บรรณานุกรม |
พระราชบัญญัติข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535.
มานิตย์ จุมปา. คำอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2540. สำนักพิมพ์นิติธรรม. กรุงเทพมหานคร, 2546.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550.
สำนักนายกรัฐมนตรี. ประวัตินายกรัฐมนตรีไทย, 2551.
|
|